ชุมชนบ้านตำแย
ชุมชนบ้านตำแย
ประวัติความเป็นมาของชุมชน
บ้านตำแย หมู่ที่ 11 ตำบลม่วงสามสิบ อำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี มีประวัติ
ความเป็นมา คือ เมื่อปี พ.ศ. 2518 ชาวบ้านโนนคร้อ หมู่ที่
4 เห็นว่าที่ตั้งหมู่บ้าน เป็นที่ราบสูง ไม่เหมาะสำหรับการทำเกษตร
และไม่สามารถขยายหมู่บ้านได้ จึงได้หาที่ตั้งหมู่บ้านใหม่ พบบริเวณทางทิศเหนือ
มีที่ราบมีแหล่งน้ำมากมาย เหมาะสำหรับการเพาะปลูก จึงได้อพยพชาวบ้านมาตั้งรกราก ณ
ดงหมามุ่ย ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นบ้านตำแย และ ปี พ.ศ. 2528 ได้แยกออกจากบ้านตำแย
หมู่ที่ 6 มาเป็นหมู่ที่ 11บ้านตำแย
เป็นชุมชนที่มีความรักความสามัคคี เอื้ออาทรต่อกัน
สภาพเศรษฐกิจ รูปแบบวิถีการผลิตและการทำมาหากิน
บ้านตำแยโดย พื้นฐาน เป็นหมู่บ้านเกษตรกรรม มีการทำไร่ทำนา ปลูกพืชผักสวนครัวและเลี้ยงสัตว์ไว้บริโภคในครอบครัว
ชาวชุมชน เป็นคนมีความขยันมัธยัสถ์ มีความรักความสามัคคี เสียสละ ประกอบอาชีพสุจริต ใช้ชีวิตแบบพอเพียง มีการประกอบอาชีพเกษตรกรรม ทำนา ถึง 124หลังคาเรือน ในจำนวนทั้งหมด 134 หลังคาเรือน
ใช้พื้นที่ 1,720 ไร่ ใช้ปุ๋ยชีวภาพและปุ๋ยคอก
ในการทำเกษตร มีครัวเรือนที่อนุรักษ์การเลี้ยงควายไว้ใช้งาน จำนวน 5 ครัวเรือน
กิจกรรมเด่นของชุมชน คือ การบูรณาการกองทุนสู่สถาบันการเงินเข้มแข็ง
มีกองทุนต่างๆอยู่หลากหลายกองทุน คือ กลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิต
จัดตั้งขึ้น เมื่อปี พ.ศ. 2543 นอกจากปลูกฝังให้ชาวบ้านรู้จักประหยัดและอดออมแล้ว ยังพัฒนาคนให้มีคุณธรรม เป็นการพัฒนาสมาชิกของชุมชน
เพื่อเตรียมพร้อมในการร่วมกิจกรรมอื่น ๆของชุมชนต่อไป
นอกจากนี้มีโครงการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองให้สมาชิกกู้ยืมเงินไปประกอบอาชีพ กองทุนได้รับการประเมินในระดับ3A และชนะเลิศการประกวดกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง
พ.ศ.2545 ด้วยความเชื่อของ นายประดิษฐ์ สมชาติ อดีตผู้ใหญ่บ้าน
ที่เชื่อว่า การจะแก้ไขปัญหาความยากจนของประชาชนได้
ประชาชนต้องมีอำนาจในการจัดการทุนของตนเอง การดำเนินงานของกองทุนก้าวหน้ามาตามลำดับ มีการเปลี่ยนชื่อเป็น ธนาคารหมู่บ้าน และต่อมาเปลี่ยนเป็น
สถาบันการเงินชุมชน ความก้าวหน้าและมั่นคงของสถาบันการเงินชุมชนบ้านตำแย ทำให้เป็นสถานที่ศึกษาดูงาน ของผู้สนใจภายในจังหวัด และจังหวัดใกล้เคียง ความสำเร็จดังกล่าวเกิดจากความร่วมมือร่วมใจของคนในชุมชน
พร้อมด้วยความซื่อสัตย์รับผิดชอบร่วมกัน
ชุมชนมีทั้งเพิ่มรายได้และลดรายจ่าย มีอาชีพเสริมซึ่งมีการรวมกลุ่มอาชีพเกิดขึ้น
เช่นการทอผ้า
ซึ่งชาวบ้านมีฝีมือในการทอผ้าจนได้รับรางวัลในการประกวดระดับจังหวัดมากมาย เมื่อมีรายได้เพิ่มขึ้นทุกคนก็จะมีการออมเก็บไว้ใช้ในยามจำเป็น
รวมทั้งการออมเงินเพื่อนำไปลงทุนประกอบอาชีพ กิจกรรม
แต่ละกลุ่มในชุมชน ประกอบด้วย
1. กลุ่มสตรีทอผ้า จัดตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2538 ได้รับการสนับสนุนงบประมาณ วัสดุ ครุภัณฑ์ จาก อบต. และส่วนราชการ ผลิตภัณฑ์ของกลุ่มมีผ้าฝ้ายและผ้าไหมกาบบัวซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดอุบลราชธานี
กลุ่มได้พัฒนาคุณภาพและมาตรฐานผลิตภัณฑ์อยู่เสมอ ได้รับการคัดเลือกในระดับ 2 ดาว เมื่อปี พ.ศ. 2547 โดยมีร้านค้าภายในอำเภอและจังหวัดมารับไปจำหน่าย
2. กลุ่มเลี้ยงปลา ทำการเพาะพันธุ์ปลานิล ปลาไน ปลายี่สก ปลานวลจันทร์
จำหน่ายที่ตลาดภายในจังหวัด จังหวัดใกล้เคียง และประเทศเพื่อนบ้าน
3. กลุ่มเลี้ยงโค ชาวบ้านตำแยเลี้ยงโคและกระบือทุกครัวเรือน
มีทั้งโคแม่พันธุ์ โคพันธุ์ลูกผสมไว้จำหน่าย
และได้ปุ๋ยคอกใส่นาและพืชผลทางการเกษตรอื่น ๆ ด้วย
4. การเลี้ยงสุกร เลี้ยงสุกรพ่อพันธุ์
แม่พันธุ์ และสุกรขุนไว้จำหน่าย
5. ฟาร์มจระเข้ ของนายสังวาล กุลวงษ์ นำจระเข้มาจากฟาร์มอำเภอศรีราชา
จังหวัดชลบุรีมาเลี้ยงเพื่อจำหน่าย
6. กลุ่มตัดเย็บเสื้อผ้า รับผ้าจากภายนอกมาให้สมาชิกเย็บ
โดยได้ค่าแรงในการเย็บ
7. กลุ่มแปรรูปผลิตภัณฑ์ รับซื้อผ้าจากกลุ่มทอผ้ามาออกแบบตัดเย็บ
ตามที่ลูกค้าต้องการ
8. การกสิกรรม เป็นอาชีพหลักของชาวบ้านตำแย ปลูกข้าวเพื่อบริโภคและจำหน่ายในส่วนที่เหลือ ใช้ปุ๋ยชีวภาพ ปุ๋ยคอก
ทุกหลังคาเรือน ที่ทำกสิกรรม ทำให้ลดรายจ่ายจากการซื้อปุ๋ยและสารเคมี
มีการปลูกพืชผักสวนครัวรั้วกินได้ไว้บริโภคและจำหน่าย
บ้านตำแยมีอาชีพหลักคือ ทำนา 124 หลังคาเรือน
ค้าขาย 5 หลังคาเรือน ช่างเครื่องยนต์ 4 หลังคาเรือน
ข้าราชการบำนาญ 1 หลังคาเรือน
อาชีพเสริมคือ ค้าขาย เลี้ยงสัตว์ ตัดเย็บเสื้อผ้า ช่างก่อสร้าง ช่างตัดผม จักสาน ทอผ้า มีการเลี้ยงสัตว์เพื่อบริโภคในครัวเรือน
เช่น เป็ด ไก่ ในหมู่บ้านไม่ให้มีการจัดตลาดนัด
ซึ่งเป็นมาตรการลดรายจ่ายจากการไม่ซื้อสินค้าฟุ่มเฟือย ไม่มีผู้ติดสุรา บุหรี่ และการพนันทุกชนิด ลดรายจ่ายจากการซื้อเครื่องมือทางการเกษตร
กระบวนการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
จุดเด่นของบ้านตำแย คือ มีผู้นำเข้มแข็ง โดยเฉพาะ นายประดิษฐ์ สมชาติ ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านระหว่างปี พ.ศ. 2544 – 2552 มีความเป็นผู้นำสูง มีอุดมการณ์มุ่งมั่นและตั้งใจจริง
เป็นผู้พัฒนาหมู่บ้านสู่ความเข้มแข็งและพึ่งตนเอง
เป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาหมู่บ้านจนยั่งยืนถึงปัจจุบัน แนวทางการพัฒนา
ใช้แรงบันดาลใจของสมาชิกในกลุ่มเป็นสำคัญ
นายประดิษฐ์ สมชาติ มีแนวคิดว่า ชุมชนจะรู้ปัญหาของตนเองดีที่สุด
และพร้อมที่จะเรียนรู้ วิธีแก้ปัญหาของชุมชนเอง มีการปลูกฝังและพัฒนาประชาธิปไตย
แบบมีส่วนร่วมให้เป็น
วิถีชีวิตของชุมชน มีการจัดทำแผนชุมชน มีการปรับแผนชุมชนประจำปีทุกปี
จัดเวทีประชาคม รวมกลุ่มกันประกอบกิจกรรมต่าง ๆภายในหมู่บ้านโดยการสนับสนุนส่งเสริมจากส่วนราชการ
ชุมชนมีแนวทางการพัฒนาอย่างเป็นระบบ ส่งเสริมการมีส่วนร่วมประกอบกิจกรรม
ต่าง ๆ ของชุมชน เช่น การทำความสะอาดหมู่บ้าน ปรับปรุงถนนในวันสำคัญ
ปรับปรุงภูมิทัศน์ชุมชนปล่อยปลาในแหล่งน้ำสาธารณะหมู่บ้าน ทุกวันที่ 12 สิงหาคม เป็นประจำทุกปี มีการกำจัดขยะมูลฝอยในหมู่บ้าน
มีการแยกขยะเปียกขยะแห้ง และขยะรีไซเคิลทุกครัวเรือน ฯลฯ
การเอื้ออาทร มีกองทุนสวัสดิการหมู่บ้าน สงเคราะห์ครอบครัวของผู้เสียชีวิต
จัดสวัสดิการเพื่อรักษาพยาบาล มีกองทุนการศึกษา
กองทุนสนับสนุนกีฬาในหมู่บ้าน มีงบประมาณกำจัดยุงลาย
มีกองทุนฌาปนกิจสงเคราะห์ มีกองทุนผู้สูงอายุหมู่บ้าน
ปี พ.ศ. 2545 ได้รับการประเมินในระดับ 3
A ในโครงการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง
ปี พ.ศ. 2547 กลุ่มได้พัฒนาคุณภาพและมาตรฐานผลิตภัณฑ์
ของกลุ่มสตรีทอผ้า ได้รับการคัดเลือกในระดับ 2 ดาว
ปี พ.ศ.2549 ได้รับ คัดเลือกเป็น “หมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงดีเด่น” ระดับประเทศ
รูปแบบของความรู้ ภูมิปัญญา และรูปแบบการศึกษา
สมาชิกในชุมชนมีโอกาสทางการศึกษาที่ดีและเท่าเทียมกัน พ่อแม่ ปู่ย่าตายาย
มีบทบาทในการอบรมเลี้ยงดูบุตรหลานในครอบครัวและญาติมีความรักความเอื้ออาทรต่อกัน สถาบันในชุมชนมีบทบาทในการสั่งสอนคุณธรรมและศีลธรรมแก่ครอบครัว เช่น บ้าน
วัดโรงเรียน (บุญเลิศ ธงสะอาด และสมศักดิ์ บุญชุบ, 2551)
ความสำเร็จของการพัฒนาไปสู่หมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงเป็นเพราะความร่วมมือของชุมชน
ไม่แก่งแย่งกัน มีปัญหาอะไรก็ปรึกษากัน ด้วยเหตุด้วยผล ยอมรับการแก้ปัญหาร่วมกัน
เพราะนำไปสู่การแก้ปัญหาของชุมชน กฎระเบียบของชุมชน
เกิดจากข้อตกลงของชาวบ้าน ที่ประชุมกำหนดขึ้นมา หากมีการละเมิดจะมีบทลงโทษ
หรือการปรับ เน้นความเป็นประชาธิปไตยในชุมชนแบบมีส่วนร่วม มีหอกระจายข่าวเป็นเครื่องมือสำคัญในการประสานกับชาวบ้านให้ปฏิบัติตามแนวทางเดียวกัน
โรงเรียนบ้านตำแยสนับสนุนและให้การอบรมการใช้คอมพิวเตอร์แก่บุคลากรในชุมชน
การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม จัดเก็บและแยกขยะ
เป็นหมู่บ้านที่ไม่ตัดไม้ทำลายป่า และมีการปลูกเพิ่ม มีการปล่อยปลาลงในแหล่งน้ำสาธารณะในวันสำคัญประมาณ 10,000 ตัวต่อปี มีการเอื้ออาทรต่อกันโดยจัดตั้งกองทุนสวัสดิการต่าง
ๆ มากมาย เช่นการสงเคราะห์สมาชิกที่เสียชีวิต
จัดค่าพาหนะให้ราษฎรเดินทางไปรักษาพยาบาลในยามเจ็บป่วย มีกองทุนการศึกษา
กองทุนผู้สูงอายุ ฯลฯ ทำให้ความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตดีขึ้น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น